Attorney of
- บริษัทกฏหมายที่มีความน่าเชื่อถือใน ประเทศไทย
- เรทราคาที่ยอมรับได้
- ทุกปัญหา
- ทางกฏหมาย สามารถติดต่อปรึกษาได้ ฟรี!
เริ่มต้นกับเราวันนี้
คดีผิดสัญญาหมั้น
สาระสำคัญของสัญญาหมั้น
- 1. สัญญาหมั้นมีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัว ลักษณะ 1 การสมรส หมวด 1 ว่าด้วยเรื่อง การหมั้น
- 2. การหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์แล้วเท่านั้น มิิฉะนั้น การหมั้นที่ฝ่าฝืนข้อนี้จะมีผล ตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1435
- 3. ผู้เยาว์จะทำการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้
- (1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา
- (2) บิดาหรือมารดา ในกรณีที่มารดาหรือบิดาตายหรือถูกถอนอำนาจปกครองหรือไม่อยู่ในสภาพหรือฐานะที่ อาจให้ความยินยอม หรือโดยพฤติการณ์ผู้เยาว์ไม่อาจขอความยินยอมจากมารดาหรือบิดาได้
- (3) ผู้รับบุตรบุญธรรม ในกรณีที่ผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม
- (4) ผู้ปกครอง ในกรณีที่ผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมตาม (1) , (2) และ (3) หรือมีแต่บุคคลดังกล่าวถูกถอน อำนาจปกครอง
- การหมั้นที่ผู้เยาว์ทำไปโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 1436 ดังนั้นผู้เยาว์ที่ สามารถทำการหมั้นได้แล้วตามมาตรานี้ ก็คือ บุคคลที่มีอายุระหว่าง 17 ปี แต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ นั้นเอง
- 4. การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น “ของหมั้น” ให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐาน ว่าจะสมรสกับหญิงนั้น ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ของหมั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สัญญาหมั้นเกิด ขึ้นสมบูรณ์หรือไม่นั่นเอง โดยองค์ประกอบสำคัญคือ ต้องมีการส่งมอบให้แก่หญิงคู่หมั้นแล้ว
- เมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง ตามมาตรา 1437 หมายถึง เป็นสิทธิของผู้หญิงที่ทำการหมั้น ด้วย หรือคู่สัญญามั่นนั้นเอง ซึ่งแตกต่างจาก “สินสอด” เป็นกรณีฝ่ายชายมอบให้แก่บิดามารดาของหญิง มิใช่ มอบให้แก่ตัวหญิงคู่หมั้น
- สินสอด” เป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่ กรณีเพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำํคัญอันเกิดแก่หญิงหรือโดยพฤติการณ์ซึ่ง ฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทำให้ฝ่ายชายไม่สามารถหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียนสินสอดคืนได้ ตามมาตรา 1437 วรรคสามงหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง ตามมาตรา 1437 cytomel generic หมายถึง เป็นสิทธิของผู้หญิงที่ทำการหมั้น ด้วย หรือคู่สัญญามั่นนั้นเอง ซึ่งแตกต่างจาก “สินสอด” เป็นกรณีฝ่ายชายมอบให้แก่บิดามารดาของหญิง มิใช่ มอบให้แก่ตัวหญิงคู่หมั้น
- ถ้าจะต้องคืนของหมั้นหรือสินสอดตามหมวดนี้ให้นำบทบัญญัติมาตรา 412 ถึงมาตรา 418 แห่งประมวล กฎหมายนี้ว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับโดยอนุโลม ตามมาตรา 1437 วรรคสี่
- 5. การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิด สัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1438
- 6. เมื่อมีการหมั้น ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้ใช้ค่าทดแทน และในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็น ฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นให้แก่ฝ่ายชายด้วย ตามมาตรา 1439
- ดังนั้นหากมีการผิดสัญญาหมั้น อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ และถ้าหากฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิด สัญญาหมั้น ฝ่ายชายจะมีสิทธิเพิ่มขึ้นมานอกจากค่าทดแทนแล้ว ก็คือ เรียกคืนของหมั้นหรือสินสอดได้ด้วย
- 7. ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้ (ตามมาตรา 1440 วรรคหนึ่ง)
- (1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น
- (2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดา มารดา หรือบุคคลผู้กระทำการในฐานะเช่นบิดามารดา ได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร
- (3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นเกี่ยวแก่อาชีพหรือทางทำมา หาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส
- ในกรณีที่หญิงเป็นผู้มีสิทธิได้ค่าทดแทน ศาลอาจชี้ขาดว่าของหมั้นที่ตกเป็นสิทธิแก่หญิงนั้นเป็นค่า ทดแทนทั้งหมดหรือเป็นส่วนหนึ่งของค่าทดแทนที่หญิงพึงได้รับ หรือศาลอาจให้ค่าทดแทนโดยไม่คำนึงถึงของ หมั้นที่ตกเป็นสิทธิแก่หญิงนั้นก็ได้ ตามมาตรา 1440 วรรคสอง
- 8. ถ้าคู่หมั้นฝ่ายหนึ่งตายก่อนสมรส อีกฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องค่าทดแทนไม่ได้ ส่วนของหมั้นหรือสินสอดนั้นไม่ ว่าชายหรือหญิงตาย หญิงหรือฝ่ายหญิงไม่ต้องคืนให้แก่ฝ่ายชาย ตามมาตรา 1441
- 9. ในกรณีมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทำให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญา หมั้นได้ และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย ตามมาตรา 1442
- เหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น” ได้แก่ การที่หญิงไปร่วมประเวณีกับชายอื่น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย หรือหญิงไปทำการสมรสกับชายอื่น หรือประพฤติตนเสเพล เป็นต้น
- 10. ในกรณีที่มีเหตุสำคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้นทำให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้น หญิงมีสิทธิบอกเลิก สัญญาหมั้นได้โดยมิต้องคืนของหมั้นให้แก่ชาย ตามมาตรา 1443
- 11. ถ้าเหตุอันทำให้คู่หมั้นบอกเลิกสัญญาหมั้น เป็นเพราะการกระทำชั่วอย่างร้ายแรงของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่ง ได้กระทำภายหลังการหมั้น คู่หมั้นผู้กระทำชั่วอย่างร้ายแรงนั้นต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่คู่หมั้นผู้ใช้สิทธิบอก เลิกสัญญาหมั้นเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น ตามมาตรา 1444 ข้อสำคัญของมาตรานี้ คือ จะต้องเป็นการกระทำ ชั่วอย่างร้ายแรงที่คู่หมั้นผู้กระทำได้กระทำหลังทำสัญญาหมั้นแล้ว มิใช่กรณีเคยกระทำชั่วมาก่อน เช่น หลังทำ สัญญาหมั้นฝ่ายชายค้ายาเสพติดจนติดคุก แม้การกระทำจะไม่เกี่ยวกับการผิดสัญญาหมั้นโดยตรง แต่กฎหมาย ก็ให้ฝ่ายชายผู้กระทำชั่วนั้นรับผิดใช้ค่าทดแทนเสมือนหนึ่งเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้นนั่นเอง เป็นต้น แต่มิใช่กรณีที่ ฝ่ายชายเคยกระทำความผิดมาก่อน แล้วต่อมาทำสัญญาหมั้นกับหญิง เมื่อหญิงคู่หมั้นมาทราบทีหลังจะมาอ้าง เป็นเหตุเรียกค่าทดแทนจากฝ่ายชายไม่ได้
- 12. ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการ หมั้นนั้น เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา 1442 หรือมาตรา 14443 แล้วแต่กรณี (ตามมาตรา 1445)
- 13. ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ข่มขืนกระทำชำเราหรือพยายามข่มขืนกระทำชำเราคู่ หมั้นของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้นโดยไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาหมั้น ตามมาตรา 1446 ซึ่งแตกต่าง กับมาตรา 1445 ที่จะต้องบอกเิลิกสัญญาก่อน
- 14. ค่าทดแทนอันจะพึงชดใช้แก่กันตามหมวดนี้ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์ ตามมาตรา 1447 วรรค หนึ่ง
- สิทธฺเรียกร้องค่าทดแทนตามหมวดนี้ นอกจากค่าทดแทนตามมาตรา 1440 (2) ไม่อาจโอนกันได้และไม่ ตกทอดไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกันไว้เป็นหนังสือหรือผู้เสียหายได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้น แล้ว ตามมาตรา 1447 วรรคสอง
- 15. สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนตามมาตรา 1439 ให้มีอายุความ 6 เดือนนับแต่วันที่ผิดสัญญาหมั้น ตามมาตรา 1447/1 วรรคหนึ่ง
- สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนตามมาตรา 1444 ให้มีอายุความ 6 เดือน นับแต่วันรู้หรือควรรู้ถึงการกระทำ
หน้าที่ของทนายความคดีผิดสัญญาหมั้น
- 1. เตรียมคดี โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ ทั้งจากฝ่ายลูกความและบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
- 2. ตรวจสอบความเรียบร้อยของเอกสารว่าลูกความว่ามีครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ เพราะคดีผิดสัญญาหมั้น อาจ ต้องมีเอกสารหลักฐานหรือหนังสือสัญญาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น กรณีมีการทำสัญญาหมั้นไว้เป็นหนังสือ กรณีการตกลงทำสัญญากู้ไว้ว่าจะให้สินสอด หรือกรณีให้ฝ่ายหญิงทำหนังสือบันทึกว่าได้รับสิ่งใดเป็นของหมั้น หรือสินสอดไปจากฝ่ายชายบ้าง หรือกรณีมีความรับผิดในค่าทดแทนขึ้นและฝ่ายที่ต้องรับผิดได้ทำหนังสือรับ สภาพหนี้ไว้ เป็นต้น
- 3. ตรวจสอบสิทธิ,หน้าที่ ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายได้ให้ไว้แก่ฝ่ายหญิง ไม่ว่าจะเป็นของหมั้นหรือสินสอด ,ความเสีย หายและดอกเบี้ยจำนวนโดยรวมทั้งหมดของลูกความและบุคคลฝ่ายอื่นที่เีกี่ยวข้องด้วย เช่น ฝ่ายบิดาหรือ มารดาทั้งสองฝ่าย เป็นต้น ซึ่งจะนำมาคำนวณเพื่อเรียกค่าทดแทนได้ต่อไป
- 4. ค้นหาข้อกฎหมาย เช่น มีเหตุเลิกสัญญาหมั้นและสามารถเรียกค่าทดแทนรวมถึงเรียกให้คืนของหมั้นหรือ สินสอดได้หรือไม่ หรือฝ่ายหญิงมีสิทธิปฏิเสธการเรียกคืนตามกฎหมายหรือไม่ เป็นต้น ค้นคำพิพากษาศาลฎีกา ที่เกี่ยวข้อง และอายุความหรือระยะเวลาในการดำเนินคดีของลูกความ
- 5. ดูแลผลประโยชน์ของลูกความในผลความคืบหน้าของคดีอย่างสม่ำเสมอ
- 6. ให้คำแนะนำปรึกษาในทางกระบวนพิจารณาของศาลและข้อกฎหมายแก่ลูกความอย่างถูกต้องครบถ้วน เพื่อ ประกอบการตัดสินใจของลูกความ